ไฟฟ้าเคมี (ElectroChemistry)
Þ ศึกษา เกี่ยวกับ j ปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า k กระแส ไฟฟ้าทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี
หาก ใช้การถ่ายเทอิเล็กตรอนเป็นเกณฑ์แล้ว Þ ปฏิกิริยาเคมีแบ่งเป็น 2 ประเภท
j ปฏิกิริยา ที่มีการถ่ายเท e- เรียก ว่าปฏิกิริยารีดอกซ์ (Redox Reaction)
k ปฏิกิริยา ที่ไม่มีการถ่ายเท e- เรียกว่าปฏิกิริยานอนรีด อกซ์ (Nonredox Reaction)
Ä ปฏิกิริยารีดอกซ์หมายถึงปฏิกิริยา เกี่ยวกับการถ่ายเท e-
ตัวอย่าง เมื่อนำแผ่นโลหะทองแดง (Cu) จุ่มลงในสารละลายของ AgNO3 พบว่าที่แผ่นโลหะ Cu มี ของแข็งสีขาวปนเทามาเกาะอยู่ และเมื่อนำมาเคาะจะพบว่าโลหะ Cu เกิดการสึกกร่อน ส่วนสีของสารละลาย AgNO3 ก็จะเปลี่ยนจากใสไม่มีสีเป็นสีฟ้า
การ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อธิบายได้ว่าการที่โลหะทองแดงเกิด การสึกกร่อนเป็นเพราะโลหะทองแดง(Cu) เกิดการเสียอิเล็กตรอนกลายเป็น Cu2+ ซึ่ง มีสีฟ้าและเมื่อ Ag+ รับอิเล็กตรอนเข้ามาจะกลายเป็น Ag (โลหะ เงิน) มาเกาะอยู่ที่แผ่นโลหะทองแดง
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนในรูปสมการได้ดังนี้
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนในรูปสมการได้ดังนี้
Cu(s) ® Cu2+(aq) + 2 e-
Ag+(aq) + e- ® Ag(s)
Q e- ที่ ถ่ายเทต้องเท่ากัน \ สมการเคมีที่เกิดขึ้นที่แท้จริงต้องเป็น
Cu(s) ® Cu2+(aq) + 2 e-
2Ag+(aq) + 2 e- ® 2Ag(s)
ปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นในแต่ละสมการเรียกว่าครึ่งปฏิกิริยา ซึ่งการเกิดปฏิกิริยาถ่ายเท e- จะเกิดขึ้นได้สมบูรณ์ก็ ต่อเมื่อต้องนำครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองมารวมกัน เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
Cu(s) + Ag+(aq) ® Cu2+(aq) + 2Ag(s) ¬ Redox Reaction
สรุป ได้ว่าการเกิดปฏิกิริยารีดอกซ์จะต้องประกอบไปด้วย
j สาร ที่ให้ e- เรียกว่าตัวรีดิวซ์ Þ เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation Reaction)
k สาร ที่รับ e- เรียกว่าตัวออกซิไดซ์ Þ เกิดปฏิกิริยารีดักชัน (Reduction Reaction)
เนื่อง จากการที่สารที่ให้ e- และสารที่รับ e- สัมผัสกันโดยตรง จะไม่สามารถแสดงกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากต้องการให้มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นต้องมีการนำลวดตัวนำไฟฟ้าต่อ เชื่อมเข้าไประหว่างขั้วไฟฟ้าของครึ่งเซลล์ที่ให้ e- และครึ่งเซลล์ที่รับ e- และพร้อมกับโวลต์มิเตอร์ และสะพานเกลือเชื่อมระหว่างครึ่งเซลล์ทั้งสอง
เช่น เซลล์ ไฟฟ้าเคมี
ขั้ว ไฟฟ้า e- ® e- ® ขั้วไฟฟ้า
Cu สะพานเกลือ Ag
Cu2+ Ag+
Cu ® Cu2+ + 2 e- Ag+ + e- ® Ag
ครึ่ง เซลล์ Oxidation Reduction
ขั้ว ไฟฟ้า ลบ (อา โนด) บวก (คา โทด)
ปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้น Cu(s) + 2Ag+(aq) ® Cu2+(aq) + 2Ag(s)
Ä หากปฏิกิริยารีดอกซ์ที่เกิดขึ้นเป็น A(s) + B+(aq) ® A+(aq) + B(s)
แผนภาพเซลล์ไฟฟ้าเคมี Þ A(s) | A+(aq) | | B+(aq) | B(s)
ครึ่งเซลล์ออกซิเดชัน ครึ่ง เซลล์รีดักชัน
หมาย เหตุ Þ ¬ | | แทนสะพานเกลือ และแต่ละครึ่งเซลล์ให้ใช้เครื่องหมาย | คั่น ระหว่างสารต่างสถานะ
k หาก ต้องการระบุความเข้มข้นให้เขียนไว้ในวงเล็บแล้ววางหลังสารละลาย
เช่น Cu(s) | Cu2+(aq)(0.1M) | | Ag+(aq)(0.1M) | Ag(s)
® หาก สารในสถานะเดียวกันมีมากกว่า 1 ชนิด ให้ใช้เครื่องจุลภาค ( , ) คั่น
เช่น Fe(s) | Fe2+(aq) , Fe3+(aq) | | Cu2+(aq) | Cu(s)
¯ หาก มีความดันเกี่ยวข้อง ให้ระบุความดันในวงเล็บ แล้ววางหลังก๊าซนั้น
เช่น Pt(s) | H2(atm) | H+(aq) | | Ag+(aq) | Ag(s)
ครึ่ง เซลล์มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบความสามารถในการให้รับ e- ของครึ่งเซลล์ต่างๆ จะใช้ครึ่งเซลล์ไฮโดรเจนเขียนแทนด้วย Pt(s) | H2(1atm) | H+(1M) และกำหนดให้ค่าศักย์ ไฟฟ้าของไฮโดรเจนที่สภาวะมาตรฐาน(25°C,1atm) มีค่าเท่ากับศูนย์โวลต์
= 0.00 Volt
การวัดค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐาน ของเซลล์ไฟฟ้าใดๆ ทำได้โดยการนำครึ่งเซลล์มาตรฐานไฮโดรเจนต่อกับ ครึ่งเซลล์ที่สนใจ และขั้วไฟฟ้าจะต้องจุ่มอยู่ในสารละลายเข้มข้น 1 Molarโดย
E°Cell = E°คา โทด - E°อา โนด
ข้อควรทราบเกี่ยวกับค่า E°
¬ ถ้า มีการกลับสมการ Þ ค่า E° จะเท่าเดิม แต่เครื่องหมายตรงกันข้าม
k ถ้า มีการคูณสมการด้วยตัวเลขใดๆ Þ ค่า E° จะเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
® ค่า E°reduction ยิ่งมาก แสดงว่าสารนั้นยิ่งรับ e- ได้ ดี (แนว โน้มความเป็นตัวออกซิไดซ์มากขึ้น)
ค่า E°reduction ยิ่งต่ำ แสดงว่าสารนั้นยิ่งให้ e- ได้ ดี (แนว โน้มความเป็นตัวรีดิวซ์มากขึ้น)
Þ โดย ทั่วไปเมื่อกล่าวถึง E° หากไม่มีการระบุว่าเป็น E°reduction หรือ E°oxidation ให้ถือว่าเป็น E°reduction
ประโยชน์ ของค่า E°reduction
¬ ใช้เปรียบเทียบความ สามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์และตัวออกซิไดซ์
Ä สารที่ให้ e- ได้ ดี E° ต่ำ , สารที่รับ e- ได้ดี E° สูง
เช่น Þ Zn2+(aq) + 2 e- ® Zn(s) E° = - 0.76 Volt
Ag+(aq) + e- ® Ag(s) E° = 0.80 Volt
พิจารณา Þ <
\ ตัวรีดิวซ์ : Zn > Ag
ตัวออกซิไดซ์ : Ag+ > Zn2+
k ใช้คำนวณค่าศักย์ไฟฟ้า ของเซลล์และครึ่งเซลล์
อาศัยหลัก Þ E°Cell = E°คา โนด - E°อา โนด Ü DE°
= E°ขั้ว บวก - E°ขั้ว ลบ
= E°สูง - E°ต่ำ
ประโยชน์ของค่า E°Cell
E°Cell > 0 Þ ปฏิกิริยา เกิดได้
E°Cell < 0 Þ ปฏิกิริยา เกิดไม่ได้ (เกิดในทิศตรงข้าม)
E°Cell = 0 Þ ปฏิกิริยา เกิดไม่ได้แน่นอน
EX. เมื่อ นำครึ่งเซลล์ของ Ag | Ag+ ต่อกับครึ่งเซลล์ของ Pt | H2 | H+ พบ ว่าเข็มของโวลต์มิเตอร์เบนหาขั้ว Ag
และอ่านค่าได้ 0.80 Volt ให้ หาค่า E° ของ Ag+ + e- ® Ag
และอ่านค่าได้ 0.80 Volt ให้ หาค่า E° ของ Ag+ + e- ® Ag
ทำ จาก การที่เข็มโวลต์เบนเข้าหาขั้ว Ag
แสดง ว่า Ag | Ag+ รับ e-
Pt | H2 | H+ ให้ e-
จาก E°Cell = E°คา โทด - E°อา โนด
0.80 = -
0.80 = - 0
\ = 0.80 Volt
นั่น หมายความว่า Þ Ag+ + e- ® Ag E° = 0.80 Volt #
ตัวอย่าง การคำนวณศักย์ไฟฟ้าของเซลล์
EX. เมื่อ นำครึ่งเซลล์ของ Fe | Fe2+ ต่อเข้ากับ Ni | Ni2+ ให้หาค่า E°Cell
กำหนด Fe2+ + 2 e- ® Fe E° = - 0.41 Volt
Ni2+ + 2 e- ® Ni E° = - 0.23 Volt
ทำ E°Cell = E°สูง - E° ต่ำ = - 0.23 - ( - 0.41)
= 0.18 Volt #
EX. ให้ พิจารณาว่าปฏิกิริยา 2Al(s) + 3Sn4+(aq) ® 2Al3+ + 3Sn2+ เกิด ขึ้นได้หรือไม่
กำหนด Sn4+ + 2 e- ® Sn2+ E° = - 0.14 Volt
Al3+ + 3 e- ® Al E° = - 1.66 Volt
ทำ วิธี 1 วิเคราะห์จากค่า E°
Ä > \ Al ให้ e- และ Sn4+ รับ e-
\ ปฏิกิริยาที่โจทย์ให้จึง เกิดขึ้นได้ #
วิธี 2 จาก E°Cell = E°สูง - E°ต่ำ
= - 0.14 - ( - 1.66) Volt
= 0.82 Volt
จากค่า E°Cell เป็นบวก แสดงว่าปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ Sn4+ ต้องรับ e- และ Al ต้องให้ e-
ซึ่งสอดคล้องกับสมการที่โจทย์ให้ \ ปฏิกิริยา ที่โจทย์ให้จึงเกิดขึ้นได้ #
การ คำนวณค่าศักย์ไฟฟ้าของครึ่งเซลล์หรือศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ที่ไม่ใช่สภาวะ มาตรฐาน ให้คำนวณหาค่าศักย์ไฟฟ้า (E) ผ่านสมการของเนินส์
1. ศักย์ไฟฟ้าของครึ่งเซลล์
aA + n e- bB
E = E°- log( )
2. ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์
aA + bB cC + dD
ECell = E°Cell - log อย่าลืม = Keq
EX. ให้ หาค่าศักย์ไฟฟ้าของครึ่งเซลล์ Zn | Zn2+(0.01M)
กำหนด Zn2+(aq) + 2 e- ® Zn(s) E° = - 0.763 Volt
ทำ จาก E = E°- log ()
= - 0.763 - log () = - 0.822 Volt #
EX. ให้หาค่าศักย์ไฟฟ้าของเซลล์จาก ปฏิกิริยา Co(s) + Ni2+(aq) Co2+(aq) + Ni(s)
E°Cell = 0.03 Volt
เมื่อ [Co2+] = 0.1M และ [Ni2+] = 1M
ทำ Ecell = E°Cell - log ()
= 0.03 - log () = 0.03 + 0.03 Volt
\ ECell = 0.06 Volt #
EX. ให้หาค่า Keq ของปฏิกิริยา Pb2+(aq) + Ni(s) Pb(s) + Ni2+(aq) ECell = 0.15 Volt
กำหนด Pb2+ + 2 e- ® Pb E° = - 0.763 Volt
Ni2+ + 2 e- ® Ni E° = - 0.25 Volt
ทำ จาก ECell = E°Cell - logKeq ¬
หา E°Cell
Q ECell = E°สูง - E°ต่ำ = - 0.13 - ( - 0.25) Þ 0.12 Volt
แทน ค่าใน ¬ 0.15 = 0.12 - logKeq
0.15 - 0.12 = - 0.0245 logKeq
logKeq = - = - 1
\ Keq = 0.1 #
Ä ปฏิกิริยา ใดที่เกิดขึ้นไม่ได้ เช่น Cu(s) + Zn2+(aq) ® Cu2+(aq) + Zn(s) หากต้องการทำให้เกิดปฏิกิริยาก็สามารถทำได้โดย ผ่านพลังงานไฟฟ้าจากภายนอก ซึ่งปฏิกิริยาที่ได้จากการแยกสลายด้วย ด้วยไฟฟ้านี้มีชื่อเรียกว่าอิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis)
ส่วนประกอบที่สำคัญของ Elctrolytic Cell
1. แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากภายนอก
2. ขั้วไฟฟ้า
3. สารละลายอิเล็กโตรไลท์
ลักษณะ การเกิดปฏิกิริยาเป็นดังนี้
สาร ที่ให้ e- แก่ ขั้วบวก เกิดปฏิกิริยา Oxidation ® ขั้วอาโนด
สารที่รับ e- จาก ขั้วลบ เกิด ปฏิกิริยา Reduction ® ขั้ว คาโทด
ต้อง ผ่านขั้นตอนการหาเลขออกซิเดชัน
Ä โดย เลขออกซิเดชันจะหมายถึงตัวเลขแสดงค่าประจุไฟฟ้าที่แท้จริงหรือประจุไฟฟ้า สมมติของธาตุ
1. ธาตุอิสระ (ไม่ รวมตัวกับธาตุอื่น มีค่า O.N. = ศูนย์)
เช่น Mg , O2 , O3 , S8 , Cl2 , P4
2. ธาตุหมู่ 1 ในสารประกอบ มีค่า O.N. = 1
เช่น LiNo3 , NaCl , KClO3
3. ธาตุหมู่ 2 ในสารประกอบ มีค่า O.N. = 2
เช่น MgCl2 , CaCO3 , BeCl2
4. ธาตุไฮโดรเจน ในสารประกอบ มีค่า O.N. = 1
เช่น HCl , NH3 , H2O
ยกเว้น ในสารประกอบของโลหะ เช่น NaH , AlH3 Þ H มี O.N. = -1
5. ธาตุออกซิเจน ในสารประกอบ มีค่า O.N. = - 2
เช่น H2O , CO2 , Cl2O
ยกเว้น H2O2 , Na2O , NaO2 , OF Þ O มี O.N. ¹ -2
6. ผลรวมของ O.N. ในสารประกอบมีค่าเป็นศูนย์
เช่น KMnO4 , MnO2 , Na2C2O4
7. ผลรวมของ O.N. ในไอออนเท่ากับจำนวนประจุ
เช่น MnO4- , Cr2O72- , Fe(CN)63-
Note Þ ไอออนที่ควรจำ SO42- , CN- , NO3- , CO32- Þ ไอออน ที่มี O.N. เท่า กับจำนวนประจุ
Mn2O7 Þ 2Mn + 7O = 0 Na3PO4 Þ 3Na + P + 4O = 0
2Mn + 7(-2) = 0 3(1) + P + 4(-2) = 0
2Mn = 14 3 + P – 8 = 0
Mn = +7 # P = +5 #
MnSO4 Þ Mn + SO4 = 0 C2O42- Þ 2C + 4O = -2
Mn + (-2) = 0 2C + 4(-2) = -2
Mn = +2 # 2C = 6
C = +3 #
1. หาธาตุที่มี O.N. เปลี่ยนไป ต่อ 1 อะตอมของธาตุ
2. นำเลข O.N. ที่เปลี่ยนไปมาคูณไขว้ (เพื่อให้จำนวน e- ที่ถ่ายเทเท่า กัน)
3. ดุลอะตอมของธาตุ (H กับ O ทำทีหลัง)
4. ถ้าทอนได้ให้ทอน เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำด้วย
EX. FeCl3 + SnCl2 ® FeCl2 + SnCl4
1. หา เลข O.N. ที่ เปลี่ยนไป ต่อ 1 อะตอมของธาตุ
FeCl3 + SnCl2 ® FeCl2 + SnCl4
+3 +2 +2 +4
รับ 1 e-
เสีย 2 e-
2. คูณ ไขว้จำนวน e- ให้ถ่ายเทเท่ากัน
2FeCl3 + SnCl2 ® FeCl2 + SnCl4
3. ดุล สมการ
2FeCl3 + SnCl2 ® 2FeCl2 + SnCl4 #
EX. KMnO4 + KNO2 + H2SO4 ® MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4
1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ต่อ 1 อะตอมของธาตุ
KMnO4 + KNO2 + H2SO4 ® MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4
+7 +3 +2 +5
รับ 5 e-
เสีย 2 e-
2. คูณไขว้จำนวน e- ให้ถ่ายเทเท่ากัน
2KMnO4 + 5KNO2 + H2SO4 ® MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4
3. ดุลสมการ
2KMnO4 + 5KNO2 + 3H2SO4 ® 2MnSO4 + 3H2O + 5KNO3 + K2SO4 #
ทำ ตามขั้นตอนดังนี้
¬ ในสารละลายกรด
EX. Fe2+ + Cr2O72- ® Fe3+ + Cr3+
ทำ 1. แยกครึ่งปฏิกิริยา
Fe2+ ® Fe3+ Cr2O72- ® Cr3+
2. ดุลอะตอม
Fe2+ ® Fe3+ Cr2O72- ® 2Cr3+
เติม H2O ด้าน ขาดออกซิเจนเท่ากับจำนวนที่ขาดออกซิเจน
Cr2O72- ® 2Cr3+ + 7H2O
เติม H+ ด้าน ขาดไฮโดรเจนเท่ากับจำนวนที่ขาดไฮโดรเจน
Cr2O72- + 14H+ ® 2Cr3+ + 7H2O
3. ดุลประจุ (โดย การเติม e- )
จาก Fe2+ ® Fe3+ + e- จำนวนประจุเท่ากันคือ 2
Cr2O72- + 14H+ + 6 e- ® 2Cr3+ + 7H2O จำนวนประจุเท่ากันคือ 6
4. ทำการถ่ายเท e- ให้เท่ากัน (โดยการคูณไขว้ จำนวน e- )
6Fe2+ ® 6Fe3+ + 6 e-
Cr2O72- + 14H+ + 6 e- ® 2Cr3+ + 7H2O
5. รวมสมการ
6Fe2+ + Cr2O72- + 14H+ ® 6Fe3+ + 2Cr3+ + 7H2O #
k ในสารละลายเบส
EX. I- + MnO4- ® I2 + MnO2
ทำ แยก ครึ่งปฏิกิริยา
I- ® I2 ดุลอะตอม MnO4- ® MnO2
2I- ® I2 ดุลประจุ Q อะตอม ของ Mn ดุล แล้ว
2I- ® I2 + 2 e- \ ดุล O โดย เติม H2O ด้าน ขาด Oเท่า กับจำนวนที่ขาด O
MnO4- ® MnO2 + 2H2O
เติม H+ ด้านขาด H เท่า กับจำนวนที่ขาด H
MnO4- + 4H+ ® MnO2 + 2H2O
Q สารละลายเบสห้ามมีกรด ดังนั้นต้องเติม OH- ทั้ง 2 ด้าน
MnO4- + 4H+ + 4OH- ® MnO2 + 2H2O + 4OH‑
Q H+ + OH- ® H2O ดังนั้นจะได้สมการเป็น
MnO4- + 4H2O ® MnO2 + 2H2O + 4OH‑ หักล้าง H2O
MnO4- + 2H2O ® MnO2 + 4OH‑ ดุลประจุ
MnO4- + 2H2O +3 e- ® MnO2 + 4OH‑
ทำ e- ที่ถ่ายเทให้ เท่ากัน (โดย คูณไขว้จำนวน e- )
Oxidation Þ 2I- ® I2 + 2 e-
Reduction Þ MnO4- + 2H2O + 3 e- ® MnO2 + 4OH‑
จะ ได้ 6I- ® 3I2 + 6 e-
2MnO4- + 4H2O + 6 e- ® 2MnO2 + 8OH‑
รวม สมการ 6I- + 2MnO4- + 4H2O ® 3I2 + 2MnO2 + 8OH‑ # ที่มา:http://elearning.spu.ac.th/content/chm100/chm/100_13.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น